รู้จัก ยา finasteride

ปัญหาผมร่วง ผมบาง เป็นปัญหากวนใจที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากเจอ แต่ทำอย่างไรเมื่อปัจจัยการเกิดปัญหาเส้นผมเหล่านี้นั้นหลีกเลี่ยงได้ยาก อย่างปัจจัยภายนอกอย่างการใช้ชีวิตประจำวัน สภาพแวดล้อม การดูแลรักษาเส้นผม แม้ว่าปัจจัยเหล่านี้จะสามารถแก้ไขได้ แต่หากเป็นเรื่องของปัจจัยภายในที่ยากจะรักษาอย่างเรื่องของกรรมพันธุ์ ยีนหัวล้าน ฮอร์โมนเพศชาย DHT จำเป็นต้องใช้ตัวช่วยในการรักษา

ตัวช่วยที่ว่าก็คงจะหนีไม่พ้น ยา Finasteride ที่เป็นยารักษาอาการผมร่วง ผมบาง ศีรษะล้าน เหล่านี้ไปได้ เพราะยา Finasteride มีฤทธิ์ในการยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเพศชาย DHT ตัวการที่ทำให้เกิดปัญหาเส้นผม และหนังศีรษะนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาเส้นผม : หัวล้าน



Finasteride คืออะไร?

finasteride คือ
Finasteride คืออะไร?

แต่เดิมทียา Finasteride คือยาที่ใช้ในการรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชาย แต่ด้วยกลไกการทำงานของตัวยาแล้วนั้นทำให้มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างฮอร์โมนเพศชาย DHT (Dihydrotestosterone) ที่เป็นสาเหตุของอาการผมร่วง ผมบาง หัวล้าน จึงถูกนำมาใช้เป็นยาปลูกผม ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีแก้ผมร่วงในเวลาต่อมา


รายละเอียดของยา Finasteride

  • ชื่อเต็ม : ฟีนาสเตอไรด์ (Finasteride) 
  • กลุ่มยา : Drugs for benign prostatic hyperplasia, 5-alpha reductase inhibitors
  • ประเภทยา : ยาอันตรายใช้ตามแพทย์สั่ง
  • สรรพคุณ : ยารักษาโรคต่อมลูกหมากโต ยารักษาผมร่วง ผมบาง หัวล้าน
  • ผลข้างเคียง : เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ อาการซึมเศร้า
  • รูปแบบของยา : ยาเม็ดชนิดรับประทานขนาด 1 มิลลิกรัม หรือขนาด 5 มิลลิกรัม

สรรพคุณของยา Finasteride

ยารักษาผมร่วง
สรรพคุณของยา Finasteride

โดยหลัก ๆ แล้วยา Finasteride 1 mg และ 5 mg มีสรรพคุณในการรักษาอาการอยู่ 2 ประเภท คือ รักษาอาการของโรคต่อมลูกหมากโต และรักษาปัญหาเส้นผมอย่าง ผมร่วง ผมบาง หัวล้าน หัวเถิกนั่นเอง

1.รักษาผมร่วง ผมบาง หัวล้าน หัวเถิก

ปัญหาผมร่วง ผมบาง หัวล้าน หัวเถิกนั้นเกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัย แต่หนึ่งในนั้นคือ ปัจจัยภายในร่างกาย อย่างกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายกระตุ้นให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนเพศชาย DHT ที่ส่งผลให้ผมขาดหลุดร่วง ฉะนั้นการกินยากินปลูกผม Finasteride จะเข้ายับยั้งการผลิตฮอร์โมนเพศชาย DHT ทำให้ผมขาดหลุดร่วงน้อยลงและกระตุ้นการงอกใหม่ของผมนั่นเอง

2.รักษาโรคต่อมลูกหมากโต

ยา Finasteride ยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเพศชาย DHT ซึ่งเป็นตัวการกระตุ้นให้เกิดภาวะต่อมลูกหมากโต

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีรักษาผมร่วง : อาหารบำรุงผม


ยา Finasteride รักษาผมร่วงได้อย่างไร?

ยาแก้ผมร่วง
ยา Finasteride รักษาผมร่วงได้อย่างไร?

ยา Finasteride นั้นจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งเป็นแล้วเอนไซม์ที่เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ไปเป็นฮอร์โมนเพศชาย DHT (Dihydrotestosterone) 

เนื่องจากการมีปริมาณฮอร์โมน DHT มากเกินไปจะไปมีผลต่อกระบวนการสร้างเส้นผม โดยลดระยะช่วง Anagen (ระยะที่เส้นผมมีการเจริญเติบโต) และเพิ่มระยะช่วง Telogen (ระยะพักของเส้นผม) ทำให้เกิดผมร่วงในที่สุด 

และเมื่อฮอร์โมน DHT จับกับตัวรับฮอร์โมนเพศ (Androgen receptor) เกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อน(Complex) ไปกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดการตายของเซลล์ (Apoptosis) ที่บริเวณส่วนปลายของรากขน (Dermal papilla) และลดขนาดของส่วนปลายของรากขน

ดังนั้นเส้นผมที่งอกขึ้นจะมีลักษณะบาง และสั้น (Vellus hairs) จึงทำให้เกิดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ง่าย ๆ ซึ่งยา Finasteride มีผลในการยับยั้งระดับฮอร์โมน DHT ที่หนังศีรษะ จึงลดการหลุดร่วงของเส้นผม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมได้ดี

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีรักษาผมร่วง : ยาปลูกผม


ความแตกต่างของยา Finasteride 1 mg กับ 5 mg 

ยา Finasteride 1 mg และ 5 mg คือยาอะไร? ถึงแม้จะเป็นตัวยาเดียวกัน แต่หากมีปริมาณตัวยาที่แตกต่างกันไปอย่างนี้ จะให้ผลลัพธ์ในการรักษาที่แตกต่างกันไปหรือไม่ หากใครกำลังมีความสงสัย และข้องใจอยู่นี้ คุณหมอจะมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างกันค่ะ

1.ยา Finasteride 1 mg

finasteride 1 mg ราคา
1.ยา Finasteride 1 mg

ยา Finasteride ขนาด 1 mg นิยมใช้สำหรับรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้าน โดยระหว่างการรักษา เพื่อให้การออกฤทธิ์ของยา Finasteride ให้ผลลัพธ์สูงสุดคนไข้จำเป็นต้องกินยา Finasteride อย่างต่อเนื่อง ตามการควบคุมของแพทย์

โดยคนไข้จะเริ่มเห็นผลหลังกินยา Finasteride ไปแล้วอย่างน้อย 3 เดือน และจะเห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อกินยา Finasteride ไปแล้วอย่างน้อย 1 ปี แต่เมื่อใดที่หยุดใช้ยา Finasteride ก็จะมีโอกาสกลับมาผมร่วง ผมบาง หรือหัวล้านได้อีกครั้ง 

2.ยา Finasteride 5 mg

ยา finasteride 5 mg
2.ยา Finasteride 5 mg

ยา Finasteride 5 mg นิยมใช้สำหรับรักษาโรคต่อมลูกหมากโตในเพศชาย โดยคนไข้จะต้องใช้ยา Finasteride 5 mg ต่อวันไปอย่างน้อย 3 – 6 เดือนขึ้นไป

นอกจากสรรพคุณหลักที่ยา Finasteride 5 mg ใช้รักษาต่อมลูกหมากโตแล้ว ยังสามารถใช้เพื่อรักษาภาวะผมร่วง ผมบางได้ด้วยเช่นกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพียงแค่ตัวยา Finasteride 1 mg ก็เพียงพอที่จะใช้รักษาภาวะผมร่วง ผมบางได้แล้ว 

นอกจากนี้ยิ่งกินยาปลูกผมที่มีปริมาณมาก ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้ยา Finasteride 5 mg เพื่อรักษาภาวะผมร่วง จึงมีโอกาสเกิดอันตรายจากผลข้างเคียงที่มากขึ้น ดังนั้นคุณหมอจึงนิยมใช้ Finasteride 1 mg ในการรักษาผมร่วง ผมบางมากกว่า


วิธีการใช้ยา Finasteride

finasteride 1 mg ยี่ห้อไหนดี
วิธีการใช้ยา Finasteride

ก่อนที่คนไข้จะเลือกกินยาปลูกผม Finasteride เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงอันตราย คุณหมอแนะนำว่าคนไข้ควรศึกษาเกี่ยวกับวิธีการใช้ยา Finasteride ให้ละเอียดครบถ้วนก่อน

1.ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา Finasteride

ยา Finasteride แต่เดิมเป็นยาสำหรับการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต แต่ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ของยา Finasteride ยาตัวนี้จึงช่วยลดการหลั่งฮอร์โมน DHT ต้นเหตุของผมร่วงได้

เห็นอย่างนี้แล้วจะทราบได้ว่าฮอร์โมน DHT มีผลต่อส่วนอื่น ๆ ของระบบในร่างกาย ไม่ใช่เพียงแค่รากผมเท่านั้น ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงอันตราย การกินยารักษาผมร่วง Finasteride ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

2.ยา Finasteride เหมาะกับใครบ้าง

กลไกการทำงานของยา Finasteride จะเข้าไปยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนในเพศชาย DHT จึงทำให้การกินยารักษาผมร่วง Finasteride นี้ ให้ผลดีกับคุณผู้ชายที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง หัวล้านจากกรรมพันธุ์ที่สุด 

แต่อย่างไรก็ตามยากินปลูกผม Finasteride จะให้ผลที่ดีกว่า เมื่อเริ่มกินตั้งแต่เริ่มมีอาการผมร่วง หากปล่อยไว้จนหัวล้านแล้ว ค่อยใช้ยากินปลูกผม Finasteride จะทำให้เห็นผลการรักษาที่ช้ากว่านั่นเองค่ะ

3.ยา Finasteride กินตอนไหนดี

คนไข้ที่เลือกใช้ยา Finasteride ในการรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง คุณหมอแนะนำให้ใช้ยา Finasteride 1 mg มากกว่ายา Finasteride 5 mg เพื่อลดการเกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์

โดยกินยารักษาผมร่วง Finasteride ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งก่อนนอน หรือเวลาเดิมในทุก ๆ วัน และต้องกินยา Finasteride ต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และเพื่อความปลอดภัย ไม่ควรเพิ่ม ลดขนาดยาด้วยตนเอง แต่ให้ใช้ยาในปริมาณเฉพาะตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

4.ใครที่ไม่ควรใช้ยา Finasteride

  • คุณผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ หรือคุณผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ มีแผนที่จะตั้งครรภ์ ห้ามใช้ยา Finasteride โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ทารกในครรภ์มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ หรือภาวะเพศกำกวม (Ambiguous genitalia) 
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ และมีความผิดปกติในการทำงานของตับไม่ควรกินยาปลูกผม Finasteride เพราะยา Finasteride มีผลข้างเคียงทำให้ค่าการทำงานของตับมีความผิดปกติได้
  • ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า อาจจะทำให้ภาวะซึมเศร้ามีอาการแย่ลงได้

5.ผลข้างเคียงของยา Finasteride

  • การใช้ยา Finasteride ไม่ได้เป็นการรักษาภาวะผมร่วง ผมบาง หัวล้านอย่างถาวร เมื่อหยุดยา Finasteride ก็ยังมีโอกาสกลับไปผมร่วงได้อีก เนื่องจากไม่มีตัวยา Finasteride ที่ไปยับยั้งการเกิดฮอร์โมน DHT ได้
  • ผลลัพธ์หลังใช้ยาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่หากคนไข้ใช้ยา Finasteride ติดต่อกันมานานกว่า 1 ปีแล้วยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ และวางแผนการรักษาใหม่อีกครั้ง
  • ยา Finasteride เป็นยาอันตราย ไม่ควรใช้โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ หรือเภสัชกร
  • จากการศึกษาการกินยาปลูกผม Finasteride ระยะยาว ไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรใช้ยา Finasteride เป็นระยะเวลานานตลอดไป ควรใช้ตามการดูแลของแพทย์เพียงเท่านั้น
  • เมื่อรับประทานยา Finasteride พบว่า 1 – 3% คนไข้มีความรู้สึกทางเพศลดลง แต่ผลข้างเคียงนี้ไม่ได้พบบ่อยและ เมื่อหยุดยา ผลข้างเคียงนี้ก็หายไป
  • เมื่อรับประทานยา Finasteride อาจจะกระตุ้นให้ภาวะซึมเศร้าแย่ลงได้

ยา Finasteride กับ ยา Minoxidil ต่างกันยังไง?

ยา Finasteride มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างของฮอร์โมน DHT ในร่างกาย ที่ทำให้เกิดการผมร่วง ยา Finasteride จึงเป็นยาที่แก้ปัญหาตรงจุดที่สุด โดยการยับยั้งฮอร์โมนที่ทำให้ผมร่วงนั่นเองค่ะ

แต่ยา Minoxidil มีคุณสมบัติช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยนำออกซิเจน เลือด และสารต่างๆไปหล่อเลี้ยงผิวหนังได้ดีขึ้น จึงช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงขึ้น

จึงกล่าวโดนสรุปได้ว่า ยา Finasteride เป็นตัวยาที่จะหยุดการร่วงของผมได้อย่างตรงจุด เพราะยับยั้งฮอร์โมนที่เป็นต้นตอของปัญหา พร้อมเสริมสร้างการเกิดผมเส้นใหม่ แต่ยา Minoxidil ไม่ได้หยุดการหลุดร่วงของผม แต่ช่วยให้กระตุ้นการเจริญเติบโตของผมให้แข็งแรงขึ้นกว่าเก่า


ยา Finasteride ยี่ห้อไหนดี?

แล้วยา Finasteride 1 mg ยี่ห้อไหนดี? ในท้องตลาดนั้นมียา Finasteride อยู่หลากหลายยี่ห้อ ทำให้คุณ ๆ ทั้งหลายอาจจะเลือกไม่ถูกว่าควรเลือกใช้ยี่ห้อใดดี ดังนั้นวันนี้คุณหมอจะมาแนะนำยา Finasteride ยี่ห้อเด่น ๆ ในท้องตลาดให้ค่ะ

ยา Finasteride ยี่ห้อ Firide
ยา Finasteride ยี่ห้อไหนดี?
  • ยา Finasteride ยี่ห้อ Firide

ยา Finasteride สัญชาติไทย ผลิตโดย สยามเภสัช เป็นยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด หนึ่งกล่องมีจำนวน 30 เม็ดสำหรับรับประทานในหนึ่งเดือน 

ตัวยาหลักประกอบด้วยยา Finasteride 1 mg เมื่อรับประทานจะออกฤทธิ์เพื่อยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างฮอร์โมน DHT ที่มีผลต่อการหลุดร่วงของเส้นผม ยา Finasteride ยี่ห้อ Firide สามารถใช้ได้ดีกับคุณผู้ชายที่มีอาการผมร่วงกรรมพันธุ์เท่านั้น และต้องใช้ยา Finasteride ต่อเนื่องนาน 3 เดือนขึ้นไปจึงจะเริ่มเห็นผล

  • ยา Finasteride ยี่ห้อ Harifin

ยาปลูกผม Harifin เป็นอีกหนึ่งยารักษาอาการผมร่วงผมบางจากบริษัทสัญชาติไทย ผลิตโดย TO Pharma ประกอบไปด้วยยา Finasteride 1 มิลลิกรัม จำนวน 30 เม็ด ช่วยป้องกันและรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์อย่างได้ผล เห็นผลชัดเจนบริเวณศีรษะช่วงบนและจากนั้นไรผมด้านข้างจะค่อยๆ กลับมาดกดำขึ้นตามลำดับ มีราคาถูก ราคาทั่วไปประมาณ 200-500 บาท ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง 3-4 เดือนขึ้นไป

  • ยา Finasteride ยี่ห้อ Propecia

ยา Finasteride ยี่ห้อ Propecia ผลิตโดย Merck Sharp & Dohme จากบริษัทยาประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาจึงสูงกว่า อาจจะหาซื้อยากกว่ายา Finasteride ตัวอื่น ๆ แต่สามารถรักษาอาการผมร่วงผิดปกติในผู้ชายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากนี้ยา Propercia ยังมีความแตกต่างจากยากินปลูกผมยี่ห้ออื่น ๆ ตรงที่แผงหนึ่งจะมียาเพียงแค่ 28 เม็ดเท่านั้น ทำให้รับประทานได้แค่ 28 วัน และจากนั้นต้องเริ่มทานยากล่องใหม่ค่ะ

  • ยา Finasteride ยี่ห้อ จีพีโอ ฟิแนกซ์ 1 (GPO-Finax 1)

ยา Finasteride ยี่ห้อ จีพีโอ ฟิแนกซ์ 1 (GPO-Finax 1) ผลิตขึ้นโดยองค์การเภสัชกรรม ภายใน 1 กล่องบรรจุยา 30 เม็ด เป็นยา Finasteride 1 mg ราคาประมาณ 300 บาท 

สรรพคุณของยาจีพีโอ ฟิแนกซ์ 1 ออกฤทธิ์โดยการปรับระดับฮอร์โมน DHT ให้สมดุล เมื่อปรับให้ฮอร์โมน DHT สมดุล ก็จะสามารถรักษาอาการผมร่วง และหัวล้านได้ ยาจีพีโอ ฟิแนกซ์ 1 ต้องรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 ปีจึงจะเริ่มเห็นผล


ยา Finasteride ราคาเท่าไหร่? ซื้อที่ไหน?

ยา finasteride ราคาเท่าไหร่
ยา Finasteride ราคาเท่าไหร่? ซื้อที่ไหน?

ยา Finasteride 1 mg ราคาจะแตกต่างกันไปตามแต่ละยี่ห้อ และสถานที่จัดจำหน่าย โดยราคาจะอยู่ที่ประมาณ 300 – 1,200 บาทต่อแผง โดยจะซื้อยารักษาผมร่วง Finasteride 1 mg จำเป็นต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์ หรือให้แพทย์เป็นผู้จัดยาให้เท่านั้น


แนะนำวิธีแก้ผมร่วง นอกจากการใช้ยา Finasteride 

อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้แล้ว ยา Finasteride ไม่ได้เห็นผลในผู้ที่มีอาการผมร่วงได้ดีทุกคน มักจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในคุณผู้ชายที่มีอาการผมร่วง หัวล้าน เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นบางครั้งอาจจะต้องกินยารักษาผมร่วง Finasteride ร่วมกับการรักษาวิธีแก้ผมร่วงอื่น ๆ หรือเปลี่ยนเป็นการรักษาผมร่วงวิธีอื่นที่เห็นผลมากกว่าไปเลยค่ะ

วิธีการรักษาผมร่วงอื่น ๆ ได้แก่

  • ฉีดสเต็มเซลล์ผม (Rigenera)

เป็นการสะกิดสเต็มเซลล์ของตัวคนไข้เองจากบริเวณรากผม มาสกัดด้วยเครื่องมือ Rigenera Activa ออกมาเป็นเนื้อเยื่อหนังศีรษะที่มีขนาด 50 ไมครอน หลังจากนั้นจึงนำเนื้อเยื่อที่ได้ มาฉีดลงบนหนังศีรษะ เพื่อให้เกิดการซ่อมแซมเซลล์รากผม ทำให้ผมกลับมาแข็งแรง และกระตุ้นการสร้างผมใหม่ ชะลอผมหลุดร่วง

  • ฉีด PRP ผม

การฉีด PRP ผม (Platelet Rich Plasma) หรือ เกล็ดเลือดเข้มข้น คือการนำเลือดเล็กน้อยเพียง 10 มิลลิลิตรของคนไข้เองออกมาปั่น ด้วยเครื่องปั่นแยกส่วนของเกล็ดเลือดออกมา แล้วจึงนำเกล็ดเลือดเข้มข้นนี้จะอุดมไปด้วยสารอาหาร (Growth factor) ฉีดกลับไปที่หนังศีรษะ ช่วยในการชะลอผมหลุดร่วง กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม และทำให้รากผม เส้นผมแข็งแรง

  • เลเซอร์ LLLT

เลเซอร์ LLLT (Low Level Laser Light therapy) คือ การใช้เลเซอร์ความเข้มข้นสีแดง ที่มีความยาวคลื่นประมาณ 630-680 นาโนเมตร โดยความยาวคลื่นระดับนี้จะช่วยกระตุ้นให้มีการทำงานของเซลล์ กระตุ้นการหมุนเวียนของการทำงานของเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสริมการสมานแผล ลดการอักเสบ จึงมีส่วนในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์รากผม จึงชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม และกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมได้ดี

  • การปลูกผม

วิธีสุดท้าย เป็นวิธีแก้ปัญหาผมร่วงที่แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เพราะการปลูกจะเป็นการนำเซลล์รากผมในบริเวณท้ายทอย ที่มีเซลล์รากผมอยู่มาก มาปลูกใส่หนังศีรษะบริเวณที่ไม่มีผมขึ้น เพื่อเติมเต็มหนังศีรษะในบริเวณนั้น ๆ ให้มีผมกลับมาดูหนาอีกครั้ง


สรุปการใช้ยา Finasteride แก้ปัญหาผมร่วง

จะเห็นได้ว่ายา Finasteride เป็นยาที่สามารถช่วยรักษาอาการผมร่วงได้จริง แต่กินยาปลูกผม Finasteride ก็อาจจะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ได้ ยิ่งในกรณีที่กินเองโดยไม่ได้อยู่ในคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ อาจจะทำกินไม่ถูกปริมาณ และผิดวิธีได้

ดังนั้นหากคุณผู้หญิง หรือคุณผู้ชายท่านใด กำลังเผชิญอยู่กับปัญหาเส้นผมขาดหลุดร่วง รากผมไม่แข็งแรง ตัดสินใจจะรักษาด้วยวิธีกินยา Finasteride แนะนำว่าให้เข้ามารับคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมอย่าง แพทย์หญิงธาริณี ก่อวิริยกมล หรือหมอแก้ว แพทย์ประจำ Dr. Tarinee Hair Clinic เพื่อจะได้วางแผนการรักษาอย่างตรงจุดมากที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก

Finasteride: MedlinePlus Drug Information. (n.d.). https://medlineplus.gov/druginfo/meds/a698016.html

Finasteride Oral: Uses, Side Effects, Interactions, Pictures, Warnings & Dosing – WebMD. (n.d.). https://www.webmd.com/drugs/2/drug-1548-167/finasteride-oral/finasteride-oral/details

Website, N. (2021, November 18). Finasteride. nhs.uk. https://www.nhs.uk/medicines/finasteride/